เหล่าแฮคเกอร์ได้พากันทดสอบเข้าควบคุมระบบของ Ford Escape และ Toyota Prius
ได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาชีนำให้บริษัทผู้ผลิตว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถควบคุมไม่ให้แฮคเกอร์ที่ประสงค์ร้ายสามารถเจาะเข้าระบบรถได้ โดยการเจาะเข้าสู่ระบบรักษาความปลอดภัยของรถ นั้นสามารถทำได้ตั้งแต่การสตาร์ทเครื่องยนต์ ดับเครื่องยนต์ ควบคุมการเลี้ยว และการทำงานของเบรก อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลของมาตรวัดระยะทาง และมาตรวัดความเร็วได้อีกด้วย
ดร.ชาลี มิลเลอร์ และ คริส เวลเซก ได้เผยแพร่เอกสารทางราชการ โดยมีรายละเอียดถึงวกระบวนการและรหัสที่สามารถจัดการกับระบบการทำงานอิเล็กทรอนิกของรถได้ โดยขั้นตอนที่กล่าวถึงนั้นมีรายละเอียดชัดเจนขนาดที่สามารถนำมาดำเนินการเองได้ ซึ่งตอนนี้เอกสารถูกปล่อยไปในวงกว้างแล้วผู้ทำวิจัยกล่าวว่า “ความหวังของการกระทำครั้งนี้คือ การที่ทุกคนสามารถที่จะเปิดใจอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตรถยนต์ที่มีปลอดภัยและมียืดหยุ่นได้มากขึ้นต่อไปในอนาคต”
กระบวนการทำงานของรถในปัจจุบันนี้ไม่ใช่การใช้ระบบเครื่องกลเพียงอย่างเดียว แต่ได้นำคอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมการทำงานหลัก ๆ ของรถด้วย เป็นที่รู้กันว่าคอมพิวเตอร์เหล่านี้เป็นหน่วยควบคุมอย่างหนึ่ง ซึ่งในรถแต่ละคันจะมีหน่วยเหล่านี้ประมาณ 50-80 หน่วย โดยหน่วยการทำงานเหล่านี้จะสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ภายในพื้นที่การทำงานที่เรียกว่า
Controller Area Network
Controller Area Network
จากการที่มิลเลอร์และเวลเซกมีสามารถเจาะเข้าสู่ระบบนี้ได้ เขาบังคับการเลี้ยวของรถ เบรก เร่งเครื่องยนต์และเปลี่ยนการแสดงผลของหน้าจอได้ ซึ่งรายละเอียดจากการเจาะเข้า Ford Escape นั้นเขาบอกว่าเขาสามารถที่จะทำลายการทำงานของเครื่องยนต์ได้ทุกขณะ รายละเอียดของ Prius เขากล่าวว่าเขาส่งรหัสเข้าไปให้กับคอมพิวเตอร์ของรถแล้วบังคับให้คอมพิวเตอร์นั้นหยุดการทำงานได้
นายมิลเลอร์และเวลเซกต่างทำงานเป็นที่ปรึกษาของระบบรักษาความปลอดภัยที่ IOAactive บริษัทที่ให้บริการรักษาความปลอดภัยแก่เครือข่ายคอมพิวเตอร์ กล่าวว่าการกระทำในครั้งนี้นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าที่ต้องการให้ระบบความปลอดภัยของรถยนต์นั้นสามารถพัฒนาขึ้นและง่ายที่จะตรวจจับความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเขาต้องการให้ระบบความปลอดภัยนั้นสามารถที่จะทำการตรวจพบไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นหลักสำคัญอันดับแรกของการทำงานเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ยานยนต์ในอนาคต
การวิจัยของทั้งคู่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2011 โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันและมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย โดยทั้งคู่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเข้าแทรกแซงการทำงานของรถในระยะไกลโดยไม่สนใจการบังคับของคนขับรถด้วยซ้ำ ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่แล้วทางโฟล์คสวาเกนเพิ่งได้ทำการฟ้องร้องเพื่อยับยั้งเอกสารงานวิจัยในลักษณะเดียวกันนี้ต่อมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม
ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญทางด้านการขนส่งนั้นได้ออกมาให้ความเห็นว่า การเผยแพร่งานวิจัยในลักษณะนี้อาจจะจะทำให้เกิดอาชญากรรมขึ้นมาได้ เพราะอาจมีบางคนเข้ามาควบคุมรถและทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุดนั้นผู้ก่อการร้ายสามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปใช้สำหรับการโจมตีคนหมู่มากได้